Skip to main content

ภาษา

safwan

เรื่องจริงจากซาฟวาน ผู้ลี้ภัยชาวอิรัก

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุเรือล่มกลางทะเลอีเจียนที่มีผู้โดยสารถึง 350 คน ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ามีผู้เสียชีวิตกี่คนในวันนั้น แต่คาดว่าประมาณ 40 กว่าคน และส่วนมากเป็นเด็ก

บนเรือลำนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ลี้ภัยสงคราม และกลุ่มไอซิส ชื่อว่าซาฟวาน วัย 24 ปีจากเมืองโมซูล ประเทศอิรัก และนี่คือเรื่องของเขา

____________________________________________

ก่อนที่กลุ่มไอซิสจะบุกยึดเมืองโมซูล ซาฟวานเป็นเจ้าของร้านคาเฟ่เล็กๆ  เขาอยู่ที่โมซูลกับพี่น้องอีก 5 คนและพ่อของเขา

“ชีวิตผมมีความสุขดี ผมมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ผมมีรถเป็นของตนเอง ชีวิตตอนนั้นดีมาก” ซาฟวานเล่าถึงชีวิตของเขาตอนนั้น

แต่เมื่อกลุ่มไอซิสบุกยึดเมือง พลเมืองชาวโมซูลก็กลายเป็นเหมือนนักโทษที่ไม่สามารถออกนอกเมืองได้ในทันที ไอซิสได้สั่งฆ่า และขับไล่ชนกลุ่มน้อยเกือบทั้งหมด ชีวิตที่เมืองโมซูลนั้นอันตรายมาก โดยหากผู้ใดถูกพบว่ามีส่วนร่วมในการต่อต้านกลุ่มไอซิส หรือเป็นกลุ่มเพศทางเลือก มีความสัมพันธ์แบบคบชู้ ก็จะถูกทำร้ายร่างกายอย่างสาหัส และถูกฆ่าทิ้งทันที กลุ่มไอซิสจะบังคับให้พวกผู้ชายไว้หนวดเครา ไม่สูบบุหรี่ และแต่งกายในแบบเฉพาะของกลุ่มไอซิส

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พวกไอซิสมาเจอซาฟวานขณะกำลังสูบบุหรี่ ซาฟวานจึงโดนเฆี่ยนทันที

กลุ่มไอซิสยังบังคับให้กลุ่มชายฉกรรจ์เข้าร่วมกองทัพของไอซิสอีกด้วย แต่หลายคนปฏิเสธ ซาฟวานไม่สามารถจะทำร้านได้อีกต่อไป และหวาดกลัวว่ากลุ่มไอซิสจะบังคับให้เขาเข้าร่วมกองทัพ ดังนั้นหนทางเดียวสำหรับซาฟวานก็คือการลี้ภัย ซาฟวานจึงขายร้านเพื่อที่จะนำมาใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งเขาได้เงินจากการขายร้านมาทั้งหมด 4,000 ยูโร แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเขาก็คือการที่ต้องบอกลาครอบครัวของเขา

“เพื่อนผมบอกว่าเขาอยากจะหนีจากอิรัก และรู้จักคนที่จะสามารถช่วยพวกเราหนีได้ สุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้ก็ช่วยพวกเราออกจากเมืองโมซูล และพวกเราก็ลักลอบเข้าซีเรียโดยรถขนน้ำมันโดยใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง พอเดินทางมาถึงซีเรียผู้ชายคนนี้ก็ส่งพวกเราต่อให้ผู้ชายอีกคนหนึ่ง และเดินเท้าเข้าชายแดนตุรกี-ซีเรียอีก 1 ชั่วโมง

เมื่อเดินทางมาถึงประเทศตุรกี ซาฟวานก็ได้เจอกับชาวอิรักคนอื่นๆที่กำลังมุ่งหน้าเดินทางไปยุโรปเหมือนกัน พวกเขาจ่ายเงินผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองคนละ 2,300 ยูโร เพื่อที่จะเดินทางข้ามทะเลไปยังยุโรป

 “ตอนแรกผมคิดว่าจะจ่ายประมาณ 1,000 ยูโรแต่นั่นเป็นราคาสำหรับเรือเล็ก ผมเลยยอมจ่ายเพิ่มเพราะหลายๆคนบอกว่านั่งเรือใหญ่จะปลอดภัยกว่า”

“พวกนั้นบอกพวกเราว่าจะมีคนนั่งเรือทั้งหมดประมาณ 95 คน เราเดินไปเจอที่จุดรวมพล คนกลุ่มแรกประมาณ 37คนเดินทางมาถึง และก็มีคนเดินทางมาเพิ่มอีกเรื่อยๆจนถึงประมาณ 350 คน และพวกเราทั้งหมดก็ถูกยัดลงไปบนเรือลำเดียวเมื่อเวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง”

“เราไม่สามารถพูด หรือทักท้วงอะไรได้ทั้งนั้นเพราะไม่อย่างนั้นพวกเราจะถูกฆ่าตายเพราะพวกนั้นมีปืน เราเลยต้องขึ้นเรือโดยไม่มีทางเลือก บนเรือมีเด็กเต็มไปหมด”

ซาฟวานหยุดเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ หน้าเขาดูซีด มือเกาะที่เก้าอี้ และมองไปรอบๆห้องอย่างหวาดกลัวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น

“พวกเราทุกคนขึ้นเรือด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด พวกเราออกเดินทางไปได้แค่ครึ่งทาง เรือก็หัก ผมอยู่ที่ชั้นบนของเรือนั่งอยู่ที่ขั้นบันได ตอนแรกผมได้ยินเสียงไม้แตกเป็นรอยแยก หันไปอีกทีก็เห็นคนบางคนตกไปที่เรือชั้นล่างแล้ว ผู้คนต่างกรีดร้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย คนแก่ ผู้หญิง ทุกคนเลย เด็กๆก็เริ่มร้องไห้”

“คนเสียชีวิตเยอะไปหมด ผู้คนรอบๆผมต่างร้องไห้ กรีดร้อง บางคนก็กำลังจมน้ำ ผมสามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ 3 คน ผู้ชายแก่ 1 คนด้วยการลากพวกเขามาเกาะซากเรือที่ลอยน้ำไว้ และพวกเราก็ลอยคว้างกลางทะเลประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะมีใครมาช่วยไว้ กลุ่มเด็กๆถูกช่วยเหลือก่อน ตอนนั้นน้ำเย็นเฉียบเลย”

ซาฟวานอยู่ในน้ำประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือ เขาถูกคลื่นพัดออกไป แต่โชคดีที่มีไฟส่องจากเฮลิคอปเตอร์มาที่เขา ชาวประมงจึงช่วยลากเขาขึ้นมา

“เรือประมงลำเล็กเห็นผมและดึงผมขึ้นมา ตอนนั้นผมไม่แม้แต่จะสามารถลากตัวเองขึ้นมาได้ ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่นิดเดียว ตอนที่ชาวประมงช่วยผมขึ้นมานั้นเป็นลมหายใจสุดท้ายของผมจริงๆ” และเมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ซาฟวานก็เงียบลง

“ผมจำอะไรไม่ได้แล้วหลังจากนั้น เหมือนสมองของผมช็อคและไม่สามารถรับกับเหตุการณ์ใดๆได้อีก รอบๆตัวผมมีแต่คนตายเต็มไปหมด”

จากนั้นซาฟวานก็ถูกนำส่งศูนย์ส่งต่อโมเรียพร้อมกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ แม้จะไม่ได้รู้จักกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ซาฟวานก็อยู่กับพวกเขาที่ศูนย์โมเรียจนกว่าจะพบศพผู้เสียชีวิตทั้งหมด เพราะเขารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดที่เขาสามารถจะทำได้แล้ว นั่นก็คือการอยู่ตรงนั้นคอยเป็นกำลังใจให้พวกเขาเวลาที่เศร้าโศก

มีหลายครอบครัวมากที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัวในวันนั้น และตอนนี้ก็ต้องนั่งรอด้วยความหวังว่าจะมีคนพบร่างของผู้เสียชีวิตเพื่อที่จะมาทำพิธีศพต่อไป พวกเขาต้องมาอยู่ในที่ซึ่งไม่รู้จักคุ้นเคย ห่างไกลจากบ้าน

ครอบครัวหนึ่งที่ซาฟวานได้รู้จักระหว่างเดินทางกำลังฝังศพลูกของเขาอยู่ ผู้ที่เป็นสามีไม่กล้าแม้แต่จะบอกภรรยาของเขาว่ามีคนพบศพลูกของพวกเขาแล้ว

สำหรับซาฟวานนั้นอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้ ตอนที่ผมถามเขา เขาก็ยักไหล่เบาๆเหมือนว่าไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกซาฟวานตั้งใจจะไปสวีเดนหรือไม่ก็เยอรมนี แต่ตอนนี้เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างดูจะไม่ค่อยมีความหมายกับเขาแล้ว

“กลุ่มไอซิสไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ พวกนั้นพรากความเป็นอิสระจากพวกเราไป ชีวิตที่นั่นพวกเราไม่ต่างอะไรจากคนไม่มีชีวิตจิตใจ ผมอยากมีชีวิตใหม่” ซาฟวานพูดทั้งน้ำตา “ผมอยากลืมทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นที่โมซูล และจากการเดินทางครั้งนี้ ผมอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากจะมองไปแต่หนทางข้างหน้า และไม่หันกลับมามองอดีตอีก”