เรื่องของไอ เน เมห์ หญิงสาวผู้ลี้ภัยที่เข้มแข็งในประเทศไทย
ต่อสู้กับโลกใบใหม่
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสงครามและความขัดแย้ง คนเป็นพ่อเป็นแม่อาจจะรู้สึกว่าทางเดียวที่จะปกป้องลูกได้นั้นคือการให้พวกเขาส่งพวกเขาไปในที่ๆปลอดภัยโดยลำพัง แต่สำหรับเด็กที่ต้องลี้ภัยโดยไม่มีพ่อแม่นั้นความเสี่ยงสูงและน่ากลัวมากนัก ด้วยการสนับสนุนของผู้บริจาค UNHCRพร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานคุ้มครองเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ป้องกันพวกเขาจากการถูกแสวงหาผลประโยชน์ และช่วยพวกเขาเข้าถึงการช่วยเหลือที่สำคัญ ในประเทศไทยเราได้พบกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงจากความเสี่ยงต่างๆ...
มันนานเกินกว่าทศวรรษแล้วที่ไอ เน เมห์ไม่ได้เห็นหน้าพ่อแม่ ตอนเธออายุ 17 พ่อแม่บังคับให้เธอลี้ภัยเพียงลำพังมายังค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทยเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอ
“พ่อกับแม่ฉันยังอยู่ในพม่า ฉันรู้ว่าพวกท่านคงมีคำถามว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไรบ้าง” ไอ เน เมห์กล่าว “พวกท่านอยากให้ฉันหนี เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายกับฉัน ตอนนั้นเราได้ยินเรื่องแรงงานในค่ายและเรื่องเลวร้ายต่างๆมากมาย”
“กองกำลังทหารมาที่หมู่บ้านเราตลอดเวลา และสร้างปัญหามากมายให้เรา เช่นเอาอาหารของเรา ทำลายข้าวของ พวกเขาทำมาแบบนี้มานานหลายปี พวกเราทุกคนกลัวทหาร และกลัวสิ่งที่เขาอาจจะทำ บ่อยครั้งที่เราต้องวิ่งหนีไปหลบในป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็กผู้หญิง”
ไอ เน เมห์หนีมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆวัยรุ่นจากหมู่บ้านเดียวกัน“เราเดินเท้ามาด้วยกันประมาณ 10 วัน จริงๆแล้วจากบ้านเราจะมีถนนตัดตรงที่จะใช้เดินได้ แต่เราใช้เส้นทางนั้นไม่ได้เพราะพวกทหารคอยจับตาดูอยู่ แล้วถ้าพวกเขาจับเราได้เรื่องร้ายจะเกิดขึ้นแน่นอน”
มองหาอนาคตที่ดีขึ้น
ไอ เน เมห์มาถึงค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่ในสอยปี 2546 เธอได้เจอญาติห่างๆ แต่เธอก็ยังรู้สึกโดดเดี่ยว คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงบ้าน และกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
“ตอนฉันมาถึงที่นี่ฉันเหงาและคิดถึงพ่อแม่ ฉันเป็นห่วงพวกท่าน และถึงแม้ที่นี่จะปลอดภัย ฉันยังคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ได้พบเจอในพม่า ตอนนั้นฉันแค่อายุ 17 และได้ยินว่าที่นี่มีโรงเรียนให้ฉันเรียนหนังสือได้ ฉันจึงเข้าเรียนและพยายามที่จะสำเร็จการศึกษาในปีสุดท้าย”
ความสำคัญการให้การศึกษาแก่เด็กๆไม่ใช่เพื่อพัฒนาพวกเขาอย่างเดียว แต่รวมถึงเป็นหนึ่งในทางที่ดีที่สุดที่จะให้เด็กๆอยู่อย่างปลอดภัย โรงเรียนเปิดโลกกว้างให้กับไอ เน เมห์เธอมีเพื่อนในชั้นเรียนและเป็นนักเรียนที่ขยันมาก สามารถเรียนทันในชั้นที่เธอไม่ได้เรียนในพม่า ไอ เน เมห์ยังได้พบรักกับสามีในค่าย
“ฉันสนุกกับโรงเรียนมากๆ ที่นี่ที่ฉันได้เจอสามีของฉัน ตอนนั้นเขากำลังเรียนอยู่ เขาช่วยฉันมากมายดูแลฉันจนฉันเรียนจบ” ไอ เน เมห์เล่า “หลังจากอยู่ที่นี่มาสามปีเราก็แต่งงานกัน เรามาจากต่างถิ่นต่างเมืองในพม่า ถ้าฉันไม่มาที่นี่ ฉันคงไม่ได้เจอเขา”
ปราศจากปกป้องแก่ผู้คุ้มครอง
วันนี้ ในฐานะแม่ลูกสองของเด็กชายวัย 3 ขวบและ 6 ขวบ ไอ เน เมห์เป็นผู้เฝ้าดูแลเด็กในค่าย เธอใช้การศึกษาที่เธอได้เรียนมาช่วยคุ้มครองดูแลเด็กๆชาวกะเหรี่ยงที่อยู่มีความเปราะบาง
“ฉันเป็นผู้ดูแลเด็กๆมา 5 ปีแล้ว” ไอ เน เมห์เล่า “ฉันรักงานของฉัน ฉันชอบช่วยเด็กๆที่มีความสุขน้อยกว่าที่ฉันมี เพราะชีวิตที่นี่ยากลำบาก งานของฉันจึงมีความสำคัญมาก”
“บ่อยครั้ง ที่ฉันเจอกรณีที่เด็กๆอยู่กับปู่ย่าตายายที่ไม่สามารถทำงานได้และมีอาหารไม่เพียงพอ เราติดตามชีวิตพวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี บางทีเด็กๆก็ประพฤติตัวไม่ดีกับพ่อแม่ เราก็ต้องคุยกับพวกเขาแล้วก็สอนเขา เพื่อให้เขาเข้าใจและทำให้พวกเขาเป็นเด็กดีขึ้น”
ไม่ใช่แค่งานของไอ เน เมห์ที่ให้การคุ้มครองขั้นพื้นฐานต่อเด็กๆที่อยู่ในความเสี่ยง งานนี้ยังสามารถเป็นรายได้ให้กับครอบครัวอีกด้วย “ฉันเข้าคอร์สพื้นฐาน 6 สัปดาห์เพื่อจะทำงานนี้ และฉันก็ได้เงินเดือนๆละ 1,000 บาท งานประจำวันของฉันคือติดตามดูแลเด็กในกรณีพิเศษต่างๆ และฉันก็ทำงานนี้ได้เพราะลูกๆของฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลและประถม”
ทั้งหมดนี้ ฉันขอขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของท่านที่ช่วยให้ UNHCR ทำงานในพื้นที่ และสนับสนุนโครงการที่สำคัญเช่นนี้ ด้วยงบประมาณที่มีอย่างจำกัด การสอนผู้ลี้ภัยและสนับสนุนพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยพวกเขาให้มีอนาคตที่ดีขึ้น และอนาคตที่ดีนั้นจะช่วยให้เด็กๆได้รับการคุ้มครอง การดูแล และการศึกษาที่ดี