Skip to main content

Languages

 

Family

ครอบครัวซอ เทอ

“พวกเขาฝังระเบิดไว้ไต้ถุนบ้าน ผมไม่รู้เลยหยิบขึ้นมา ระเบิดเข้าตาทันที ผมตาบอดทั้ง 2 ข้าง ผมอยากมองเห็นลูก ก็มองไม่เห็นอีกแล้ว” ซอ เทอ และครอบครัวมีอาชีพเป็นชาวไร่ หลังจากโดนระเบิดเขารอการช่วยเหลือนานกว่า 4 เดือนจนกว่าจะถึงมือแพทย์จนทำให้เขากลายเป็นคนตาบอดถาวร

 

 

ครอบครัวอัสฮัน

“เนื่องจากครอบครัวเราเป็นครอบครัวมุสลิมจึงถูกรังแกอย่างหนักเนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาที่บ้านเกิด ฉันยังจำวันที่ต้องลี้ภัยได้ดี หมู่บ้านของพวกเราถูกทำลายทุกหลัง สุเหร่าถูกเผา ชาวบ้านวิ่งหนีตาย เราโชคดีที่หนีมาทัน ฉันเดินมา 3 วันกับลูก เพราะสามีต้องหนีมาก่อนเนื่องจากเป็นผู้ชายก่อนที่ถูกจับไปเป็นแรงงาน กว่าจะตามหากันจนเจอ เราต้องหลบๆซ่อนๆ และต้องหนี" อัสฮันกล่าว

 

 

ครอบครัวนาเดีย

“ตอนนั้นมีการต่อสู้กันมาก หมู่บ้านถูกบุกรุก แย่งชิงอาหาร ชาวบ้านถูกทำร้าย และถูกจับไปใช้เป็นแรงงาน เราต้องลี้ภัยเข้าป่า ตอนนั้นลูกไม่สบายในป่า เราไม่มียาให้ลูก ตอนนั้นฉันกลัวมาก เราพยายามหาทางมาที่ค่ายผู้ลี้ภัย เดินทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลา 4 วันเพื่อมาที่เขตชายแดน” นาเดีย แม่ผู้ลี้ภัยวัย 45 ปีสูญเสียลูกของเธอ 4 คนตั้งแต่ยังเล็กๆ มิหนำซ้ำในบรรดาลูก 9 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายและลูกสาว 2 คน ก็ต้องกลายเป็นคนพิการจากอาการป่วยไข้สูง และเป็นลมชักในวัยเด็ก เธอและครอบครัวต้องหนีเข้าป่าโดยสามีของเธออุ้มลูกชายวัย 10 ขวบที่ป่วยหนักมาตลอดทางเพราะกลัวจะวิ่งหนีไม่ทัน

 

 

ครอบครัวมีเรีย

“ตอนนั้นฉันได้ยินเสียงปืนที่ทหารยิงดังขึ้นหลายนัด เลยรีบหนีเอาชีวิตรอดไม่ทันได้เอาอะไรติดตัวมาเลย นอกจากข้าวสารที่จะไว้ใช้เป็นอาหารระหว่างเดินทาง เราเดินเท้ากันในป่าหลายวันกว่าจะมาถึงที่ค่าย และต้องหลบอยู่ในป่า 2 สัปดาห์กว่าจะได้รับความช่วยเหลือ ” จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 18 ปีแล้วที่คุณยายมีเรีย(ซ้าย) วัย 76 ปีรวมทั้ง ลูก หลาน และเหลน ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และสิ้นหวัง

 

 

ครอบครัวนอ เซอ เซอ

“หมู่บ้านถูกบุกรุก โดนยึดข้าวปลาอาหาร และชาวบ้านถูกจับตัวไปเป็นลูกหาบแบกเสบียงและอาวุธ ใครไม่ยอมจะถูกทำร้าย เราต้องลี้ภัยมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย" นอ เซอ เซอตัดสินใจหนีมาเพราะไม่สามารถทนความทรมาน และการถูกทำร้ายได้อีก