Skip to main content

ภาษา

 

สงครามซีเรียเข้าสู่ปีที่ 7 UNHCR เตือนซีเรียมาถึงทางแยกที่ต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน

แนสรีน อาห์เม็ด สวี ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่ทริโปลี ประเทศเลบานอน เดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2557 เธอลี้ภัยจากเมืองฮอมส์ ประเทศซีเรีย พร้อมกับลูกของเธอทั้งสี่คนหลังจากสามีของเธอถูกฆ่าเสียชีวิต © UNHCR

 

ในขณะที่ยังมีความหวังสู่อิสรภาพ อีกด้านหนึ่งนั้นความทุกข์ทรมานของชาวซีเรียหลายล้านคนที่ก็ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้สงครามซีเรียกลายเป็นความล้มเหลวที่ก่อตัวสะสมมาอย่างยาวนาน
กรุงเจนีวา- 9 มีนาคม 2560- ในขณะที่สงครามความรุนแรงในซีเรียได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 UNHCR หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ได้ร้องขอประชาคมระหว่างประเทศเพิ่มความช่วยเหลือเพื่อรับมือกับความทุกข์ทรมานที่สูงขึ้นจากประชาชนชาวซีเรียที่บริสุทธิ์หลายล้านคนที่อยู่ในประเทศและภูมิภาค

“ซีเรียกำลังอยู่บนทางสามแพร่ง นอกเสียจากว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือด้านความมั่นคงและสันติภาพ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ก็มีแต่จะย่ำแย่ลง” นายฟิลิปโป กรานดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
ผู้คน 13.5 ล้านคนในซีเรียต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม มีผู้คนที่พลัดถิ่นในประเทศตนเอง 6.3 ล้านคน หลายแสนคนต้องเสี่ยงชีวิตลี้ภัยทางทะเลที่อันตราย เด็กชาวซีเรียที่อายุต่ำกว่าห้าขวบจำนวน 3 ล้านคนต้องเกิดมาพร้อมกับความขัดแย้ง และ 4.9 ล้านคนโดยส่วนมากคือผู้หญิงและเด็กต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยและอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านที่ให้การรองรับกลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้และต้องแบกรับกับผลกระทบด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง “ท้ายที่สุดความขัดแย้งของซีเรียนั้นไม่ได้เกี่ยวกับจำนวน แต่คือเรื่องของคน” นายฟิลิปโป กรานดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติกล่าว “ครอบครัวหลายครอบครัวต้องพรากจากกัน ประชาชนที่บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต บ้านเรือนพังเสียหาย สภาพความป็นอยู่และธุรกิจพังทลาย ซึงนับเป็นความล้มเหลวที่สะสมมาอย่างยาวนาน”

ในปีนี้ และปีต่อๆไป UNHCR จะยังคงดำเนินการในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองเหยื่อจากสงครามในประเทศซีเรียและภูมิภาคใกล้เคียง UNHCR และหน่วยงานพันธมิตร ได้ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับผู้ลี้ภัยหลายล้านคน ในปี พ.ศ.2559  จำนวนผู้ลี้ภัยชาวซีเรียกว่า 1 ล้านคนได้รับอุปกรณ์กันหนาวซึ่งจำเป็นเป็นอย่างมากสำหรับต่อสู้กับสภาพอากาศหนาวจัดต่ำกว่าศูนย์องศา อีกทั้งผู้ลี้ภัยกว่า 4 ล้านคนได้รับความช่วยเหลือเป็นอุปกรณ์บรรเทาทุกข์เบื้องต้น อาทิ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนอน รวมถึงของใช้ในครัวเรือน นอกจากนั้น ยังมีผู้ลี้ภัยอีกกว่า 2 ล้านคนได้รับประโยชน์จากเครือข่ายด้านชุมชนของ UNHCR ในประเทศซีเรีย ซึ่งให้บริการในหลายๆด้านตัวอย่างเช่น บริการด้านการให้ความคุ้มครองแก่เด็ก บริการด้านการศึกษา และบริการด้านสุขภาพ โดยในภูมิภาคมีจำนวนผู้พลัดถิ่นในประเทศตนเองรวมทั้งผู้ลี้ภัยทั้งหมดสามล้านคนที่ได้รับการช่วยชีวิตเพื่อผ่านฤดูหนาวที่โหดร้ายไปได้ UNHCR และหน่วยงานพันธมิตรได้ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวซีเรียทั้งหมดห้าล้านคน และรองรับพร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านการให้ความคุ้มครองและความช่วยเหลือด้านต่างๆเช่นการศึกษา การบริการด้านสุขภาพ และที่พักอาศัยในห้าประเทศหลักที่รองรับผู้ลี้ภัยในภูมิภาค

ขณะที่จำนวนของผู้ที่เปราะบางและต้องการความช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา หากในส่วนของงบประมาณนั้นกลับไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งจากการประชุม ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา เพื่อกำหนดแนวทางการฟื้นฟูประเทศซีเรียในอนาคต รวมถึงงบประมาณที่ต้องใช้สำหรับการให้ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม องค์การสหประชาชาติต้องการงบประมาณมากถึง 2.8 แสนล้านบาท (8 พันล้านเหรียญดอลลาร์รัฐ)ในปี พ.ศ.2560 สำหรับการบรรเทาทุกข์ประชากรซีเรียทั้งในประเทศ และที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ อีกทั้งคำมั่นสัญญาในการให้ความช่วยเหลือสำคัญอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการประชุม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ.2560 โดยเฉพาะความช่วยเหลือด้านการศึกษา และสภาพความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง “เราจึงส่งเสริมให้ผู้บริจาค ยังคงการบริจาคอย่างเพียงพอ และมีความหยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ UNHCR สามารถส่งมอบความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง” นายฟิลิปโป กรานดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติกล่าว “การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินอาจจะไม่ได้ทำให้ความทุกข์ทรมานของผู้ลี้ภัยหมดไป หากแต่มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ในขณะที่ความยากจนและความทุกข์ทรมานกำลังบีบล้อมเข้ามา แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เรามีอยู่ในมือขณะนี้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการทั้งหมด 

โดย UNHCR หวังว่าการริเริ่มด้านสันติภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นหนทางไปสู่ทางออกที่ยั่งยืนในอนาคต “การเจรจาสันติภาพเพียงอย่างเดียว ไม่ก่อให้เกิดเงื่อนไขที่สามารถทำให้ผู้ลี้ภัยกลับบ้านได้” นายกรานดี กล่าวเพิ่มเติม “หากแต่เมื่อองค์ประกอบที่เอื้อให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงถาวรเกิดขึ้น เราก็ควรที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นฟูผลกระทบจากสงครามที่กินวงกว้างที่สุดในยุคของเรา ดั้งนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่ยังคงมอบความช่วยเหลือด้านนมนุษยธรรมต่อไป เพื่อขยายการเข้าถึงการทำงานเพื่อช่วยชีวิตผู้คนต้องการการช่วยเหลือในขณะนี้