Skip to main content

ภาษา

 

การแสวงหาสันติภาพในซูดานใต้เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนมากขึ้น

ระหว่างการเยือนประเทศซูดาน นายฟิลลิปโป กรันดีเรียกร้องให้กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในความไม่สงบ ประเทศต่างๆในภูมิภาคและประชาคมโลกพยายามช่วยกันหยุดความขัดแย้งที่เป็นเหตุให้คนกว่า 4 ล้านคนต้องพลัดถิ่น

 

 

ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ นายฟิลลิปโป กรันดี เข้าเยี่ยมผู้ลี้ภัยจากซูดานใต้อัลนามีร์ ดาร์ฟูร์ตะวันออก, ประเทศซูดาน

 

ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ นายฟิลิปโป กรันดี เข้าเยี่ยมผู้ลี้ภัยจากซูดานใต้อัลนามีร์ ดาร์ฟูร์ตะวันออก, ประเทศซูดาน © UNHCR/Petterik Wiggers

 

 

 

ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ นายฟิลลิปโป กรันดี มีข้อเรียกร้องขณะเยือนค่ายผู้ลี้ภัยอัลนามีร์ ที่ดาร์ฟูร์ตะวันออก ประเทศซูดาน ซึ่งเขาได้พบปะผู้ลี้ภัยชาวซูดานและคนในท้องถิ่น

“การมาเยือนที่นี้ของผมมีเพียงเหตุผลเดียว เหมือนกับที่ผมทำที่ยูกันดา เอธิโอเปียและจูบา นั่นก็คือเพื่อที่จะเรียกร้องต่อผู้นำของซูดานใต้ ต่อกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับซูดานใต้ ต่อประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและต่อประชาคมโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการแสวงหาสันติภาพในซูดานใต้” นายกรันดีกล่าวในช่วงการเยือนในสัปดาห์นี้

 

การเรียกร้องของเขาเกิดขึ้นจากการที่เหตุการณ์ความรุนแรงและความอดอยาก ทำให้ชาวซูดานใต้กว่า 4 ล้านคน ทั้งในประเทศและบริเวณชายแดนต้องพลัดถิ่นฐาน นับตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2013 ความพยายามที่จะนำสันติภาพกลับคืนมาอีกครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านดูเหมืนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ

 

 

อัลนามีร์ ดาร์ฟูร์ตะวันออก, ประเทศซูดาน ในขณะที่สถาณการณ์ความรุนแรงที่แย่ลงในซูดานใต้ทำให้คนจำนวนมากทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ ต้องหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ข้าหลวงใหญ่ฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในความไม่สงบรัฐในภูมิภาคและประชาคมโลกมองหาหนทางที่จะสร้างสันติภาพโดยเร็ว

 

“ผู้ตกเป็นเหยื่อของความผิดพลาดนในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้คือ พลเมือง ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่”

“เหยื่อของความผิดพลาดในครั้งนี้ คือ พลเมือง ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ผู้ที่ต้องละทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กที่ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงในชีวิตโดยลำพังไม่มีสมาชิกครอบครัวผู้ชายมาดูแล เพราะพวกเขารู้สึกกลัวที่จะกลับไปอาศัยในบ้านของพวกเขาที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม” นายกรันดีกล่าว

 

ในระหว่างการเยือนซูดานใต้ของเขา ข้าหลวงใหญ่ฯ ได้กล่าวถึงบทบาทหลักของประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้ ค่ายผู้ลี้ภัยอัลนามีร์เป็นที่พักพิงช่วงคราวของผู้ลี้ภัยกว่า 5,000 คน ซึ่งมากกว่าร้อยละ 90 เป็นผู้หญิงและเด็ก

 

“ผมต้องการบอกให้โลกรู้ว่าซูดานยังคงเปิดประตูให้ผู้ลี้ภัย ในขณะที่หลายประเทศปิดประตู” นายกรันดีกล่าว

 

ข้าหลวงใหญ่ฯ ยังได้เรียกร้องขอความช่วยเหลือให้แก่ประเทศซูดานให้มากขึ้นด้วย “หลายครั้งเราลืมไปว่าซูดานยังเป็นประเทศที่ให้ที่พักพิงที่สำคัญไม่เพียงแต่สำหรับชาวซูดานใต้ แต่ยังเป็นที่พักพิงสำหรับชาวเอริเทรีย ไซเรียและผู้ลี้ภัยอื่นๆ” เขากล่าว

 

นายกรันดี ยังกล่าวชื่นชมตัวอย่างของความร่วมมือกันและการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้ลี้ภัยและคนในชุมชนในซูดาน

 

“ทั่วทั้งโลกเราพยายามหาทางใหม่ที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น สนับสนุนเรื่องแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่และการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับผู้ลี้ภัยและชุมชนที่ให้ที่พักพิงพวกเขา ผมคิดว่าซูดานเป็นประเทศที่เหมาะสมอย่างมากที่จะเป็นตัวอย่างการพัฒนานี้”

 

ในช่วงการเยือนของเขา นายกรันดีได้พบกับซาเดีย โมฮัมเหม็ด วาลี คุณแม่ผู้ลี้ภัยวัย 42 ปี ซาเดียลี้ภัยจากซูดานใต้มาพร้อมกับลูกอีก 7 คน ตอนที่บ้านเกิดของเธอเกิดการต่อสู้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

“พวกเรามาพร้อมกับลูกๆ และเราไม่มีอาหารที่จะให้พวกเขากิน”

“พวกเรารู้สึกกลัวมาก” เธอเล่าถึงรายละเอียดการเดินทางที่ใช้เวลานานนับเดือนจนกระทั่งถึงที่ปลอดภัยในซูดาน “การเดินทางนั้นยากลำบากมากสำหรับพวกเรา เพราะพวกเรามาพร้อมกับลูกของพวกเราและเราไม่มีอาหารที่จะให้พวกเขากิน พวกเราเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่” เธอเล่า “คนที่มีอาหารเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วยก็จะแบ่งอาหารมาให้พวกเราซึ่งเราก็เอาให้เด็กๆ”

เธอได้บอกความปรารถนาที่อยากให้ลูกของเธอได้รับการศึกษาที่ดีและเธออยากได้รับความช่วยเหลือธุรกิจเล็กๆของเธอ เธอขายถั่วอบ ขนมและของหวาน

 

ซูดานเป็นที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยกว่า 416,000 คนจากซูดานใต้ตั้งแต่ปี 2013 รวมไปถึงผู้ที่เพิ่งลี้ภัยกว่า 170,000 คน ในปีที่ผ่านมา ซูดานใต้กลายเป็นประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดหลังได้รับเอกราชจากประเทศซูดานในปี 2011 ผู้ลี้ภัยคนอื่นๆกว่าแสนคนที่พักพิงอยู่ในประเทศซูดานจากการแยกตัวก็ยังต้องการความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ในวันพุธที่ผ่านมา ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติได้จบการเยือนด้วยการพบปะกับผู้นำซูดานและเจ้าหน้าที่ปกครองในเมืองคาร์ทูม