จำนวนผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้ในประเทศยูกันดาเพิ่มสูงขึ้นเกินหนึ่งล้านคน
ผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้กว่าหนึ่งล้านคนได้ลี้ภัยเพื่อหาที่ปลอดภัยในประเทศยูกันดาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ซึ่งในจำนวนทั้งหมด มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิงและเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
เขียนโดย webmaster เมื่อ 18 สิงหาคม 2017
ผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้กว่าหนึ่งล้านคนได้ลี้ภัยเพื่อหาที่ปลอดภัยในประเทศยูกันดาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ซึ่งในจำนวนทั้งหมด มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิงและเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
ภายใต้ท้องฟ้าที่สดใส ทาบู ซันเดย์ วัย 14 ปีกำลังกำจัดวัชพืชในสวนเล็กๆ ในค่ายผู้ลี้ภัยอิมเวพีทางตอนเหนือของยูกันดา ทาบูภาคภูมิใจกับงานที่เธอทำในบริเวณบ้าน แม้ว่าบ้านหลังนั้นจะไม่ใช่ของเธอ
สำนักงานข้าหลวงผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ UNHCR ได้คัดเลือกให้ทาบูเป็นตัวอย่างของผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้หนึ่งล้านคน ที่แสวงหาที่พักพิงที่ปลอดภัยในยูกันดาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ขณะที่จำนวนผู้ลี้ภัยที่เดินทางมาถึงเพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เรื่องราวเริ่มขึ้นจากแม่อุปถัมภ์ ฮาเรียต ที่มาจากซูดานใต้เช่นเดียวกัน สังเกตว่าลูกทั้ง 4 คนของเธอได้ไปเล่นกับทาบู เรน่าฝาแฝดของเธอ และน้องชายวัย 11 ปี เอ็มมานูเอล ดูเหมือนว่าไม่มีใครดูแล เธอจึงดูแลพวกเขา ทาบูและพี่น้องของเธอได้ลี้ภัยมาจากบ้านเกิดที่เมืองเมืองเยอิ พร้อมกับน้าของพวกเขา พ่อแม่ของเธอได้ส่งเธอมาที่ยูกันดาเพื่อที่พวกเธอจะได้รับการศึกษา
“ที่ๆฉันเคยอยู่ มีคนที่เข่นฆ่าผู้คน” เธอเล่า “พ่อแม่ของฉันบอกว่าพวกเขาไม่มีเงินมากพอที่จะเดินทาง พวกเราจึงต้องเดินเท้ามาพร้อมกับน้าของฉัน มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานและยากลำบาก พวกเราต้องเดินทางผ่านเส้นทางคองโกเพื่อจะมาถึงยูกันดา น้าของฉันอยู่ที่นี่เพียงสัปดาห์เดียวก็ตัดสินใจที่จะกลับบ้าน “หลังจากที่เธอกลับบ้าน พวกเราก็เล่นกับลูกของครอบครัวที่อุปถัมภ์พวกเราและแม่ของเขาเห็นว่าพวกเราโดดเดี่ยว เธอจึงขอให้พวกเราอาศัยอยู่กับเธอที่บ้าน”
บ้านสำหรับทาบูตั้งอยู่บนพื้นที่ 30 ตารางเมตร ซึ่งเป็นที่พักพิงที่มอบให้แก่ครอบครัวผู้ลี้ภัยเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึง ทาบูและพี่น้องของเธออาศัยอยู่ในที่พักหลังกับครอบครัวอุปถัมภ์ซึ่งทำให้เด็กๆมีความเป็นส่วนตัวในการนอนหลับ การเรียนและอ่านหนังสือ
ในคำแถลงของ UNHCR กล่าวว่าโดยเฉลี่ยแล้วมีผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้มากกว่า 1,800 คนต่อวัน ที่ลี้ภัยมาที่ยูกันดาในปีที่ผ่านมา การลี้ภัยนี้ได้กลายเป็นวิกฤตการณ์การเพิ่มจำนวนผู้ลี้ภัยที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้ในยูกันดาเป็นผู้หญิงและเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานข้าหลวงผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติได้รับเงินเพียง 21 เปอร์เซ็นต์จาก จำนวน 674 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีความจำเป็นในการนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้ในยูกันดาในปี 2017 นอกจากผู้ลี้ภัยกว่าล้านคน ที่ตอนนี้พักพิงอยู่ที่ประเทศยูกันดา ยังมีผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้กว่าล้านคนหรือมากกว่าพักพิงอยู่ในประเทศซูดาน เอธิโอเปีย เคนย่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
“ด้วยวิกฤติที่ตอนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะจบลง การลงมือแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมเป็นสิ่งจำเป็นนอกจากนี้ยังมีความจำเป็นที่เร่งด่วนต่อคำมั่นสัญญาจากที่ต่างๆ ในการช่วยเหลือที่ต้องเติมเต็ม” จากคำแถลงการเพิ่มเติม
ยูกันดาสมควรได้รับการชื่นชมที่ยังคงเปิดประตูต้อนรับผู้ลี้ภัยอีกทั้งยังมีกลยุทธ์การจัดการกับการลี้ภัยเชิงก้าวหน้า
“ด้วยวิกฤติที่ตอนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะจบลง การลงมือแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมเป็นสิ่งจำเป็น”
ยูกันดาได้จัดหาพื้นที่ให้แก่ผู้ลี้ภัย ซึ่งใช้ในการก่อสร้างที่พักและปลูกพืชผล ให้อิสระพวกเขาในการทำสิ่งต่างๆและสิทธิในการทำงาน ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยได้เข้าถึงสวัสดิการรัฐต่างๆ เช่นสวัสดิการด้านสุขภาพและการศึกษา
ทาบู เป็นเด็กสูง ผอมเพรียวและกระปรี้กระเปร่า ชอบที่จะช่วยแม่อุปถัมภ์ของเธอกำจัดวัชพืชในสวนผักเล็กๆของพวกเขา ซักเสื้อผ้าและทำอาหารจากพวกข้างฟ่างและถั่ว
เธอเป็นนักเรียนที่ขยันเรียนและต้องการที่จะอยู่ในยูกันดา เธอจึงยังคงเข้าเรียนอยู่เสมอ “ฉันเรียนอยู่ชั้นประถม 5 และวิชาที่ฉันชอบคือศาสนาและคณิตศาสตร์” เธอกล่าว
อย่างไรก็ตาม เธอพบว่ามันเป็นเรื่องยากกับการที่ในชั้นเรียนของเธอมีนักเรียนถึง 200 คน “เมื่อคุณครูสอน คนอื่นก็มักส่งเสียงดังทำให้พวกเราไม่รู้ว่าคุณครูสอนอะไร” แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่ทาบูก็ตั้งใจที่จะเรียนและใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ในการทำการบ้าน เธอและพี่น้องของเธอเชื่อว่าการศึกษาที่ดีจะช่วยให้พวกเขาทำตามความฝันของพวกเขาได้ เรน่าน้องสาวของทาบู อยากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เอ็มมานูเอล น้องชาย อยากเป็นนักบิน
ทาบูมีความฝันอยากจะเป็นแพทย์ “ฉันอยากเป็นแพทย์ เพราะเมื่อใครสักคนหนึ่งป่วยหรือผู้หญิงต้องคลอดลูก ฉันจะสามารถช่วยได้”