Skip to main content

ภาษา

 

เหตุการณ์ความไม่สงบทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ทำให้เกิดการพลัดถิ่นของผู้คนกว่า120,000 คน

ผู้พลัดถิ่นหญิงชาวฟิลิปปินส์พักอาศัยชั่วคราวใต้ต้นไม้ในเขตเทศบาลพากาลังกันในหมู่เกาะ มากินดาเนาจังหวัดมินดาเนา ภาพUNHCR/E.Monato

 

มะนิลา ฟิลิปปินส์, 20 มีนาคม 2558 (UNHCR) การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มติดอาวุธทางตอนใต้ของจังหวัดมินดาเนา ฟิลิปปินส์ ทำให้ผู้คนกว่า 120,000 คน ต้องลี้ภัยออกจากบ้านของตนเองตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาเมื่อความขัดแย้งเริ่มบานปลาย

หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติหรือ UNHCR กล่าวแสดงความห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชนที่ต้องพลัดถิ่นเนื่องจากความรุนแรงได้ขยายตัวเข้าไปในเขตพื้นที่หมู่บ้าน UNHCRคาดว่าจำนวนของผู้พลัดถิ่นจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเพราะการต่อสู้ได้ขยายเข้าถึงพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นที่ให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นอยู่ณ ขณะนี้

UNHCRและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประมาณการณ์ว่าเทศบาลกว่า 13 แห่งในจังหวัดมากินดาเนาและตอนเหนือของเมืองโคตาบาโตได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ที่ยาวนานกว่ากว่า 8 สัปดาห์ระหว่างกองกำลังความมั่นคงของรัฐและกลุ่มต่อสู้อิสลามชาวบังซาโมโรเพื่ออิสรภาพ ตอนนี้ผู้พลัดถิ่นในประเทศตนเองต้องอาศัยพื้นที่ในโรงเรียนและอาคารสาธารณะต่างๆเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว และยังมีบางกลุ่มซึ่งพักอาศัยกับญาติและเพื่อนโดยจำนวนของคนกลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด

เนื่องจากสถานกาณ์ความปลอดภัยที่ไม่แน่นอน ทำให้ UNHCRไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เดือดร้อนได้ทั่วถึงและทำงานโดยอาศัยข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่น องค์กรประชาสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ

UNHCRและหน่วยงานสหประชาชาติต่างๆในจังหวัดมินดาเนาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับองค์กรท้องถิ่นเพื่อตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของผู้พลัดถิ่นทั้งในและนอกเขตพื้นที่อพยพ “เราได้ทำการส่งมอบผ้าห่ม ถังน้ำ เสื่อปูนอน มุ้งกันยุง และผ้าพลาสติกเอนกประสงค์ แต่พวกเขายังต้องการการช่วยเหลืออื่นๆที่เร่งด่วนอีกมาก” บาบาร์ บาลอชโฆษกUNHCRในเจนีวากล่าว

UNHCR มีความกังวลและห่วงใยความปลอดภัยของประชาชนโดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กที่ถูกจับในเขตพื้นที่ความขัดแย้งเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในการถูกใช้แสวงหาผลประโยชน์ และถูกล่วงละเมิดเนื่องจากขาดรายได้และการคุ้มครองจากชุมชนท้องถิ่น ในขณะเดียวกัน ทรัพยากรมีอย่างจำกัดเช่น อาหาร ยารักษาโรค น้ำสะอาด และที่พักพิงชั่วคราวอาจทำให้ความอันตรายของสถานการณ์เพิ่มความรุนแรงขึ้นอีก

UNHCRได้ร้องขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจถึงประชาชนได้รับความปลอดภัยด้วยการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย