8 ปีของการรอคอยที่จะได้อยู่กับครอบครัวอีกครั้ง กับวันนี้ที่ความฝันเป็นจริงด้วยโครงการคืนครอบครัวของ UNHCR
ราชบุรี ประเทศไทย 9 มีนาคม (UNHCR)– เช้าของวันที่ร้อนจัดของค่ายผู้ลี้ภัยถ้ำหิน อาจทำให้หลายๆคนรู้สึกอ่อนล้า และหมดแรง แต่สำหรับเทร ซา โม* แม่ผู้ลี้ภัยวัย 31 ปี และแอ โซ โซ โด ลูกชายวัย 8 ปีแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น เทร ซา โม และลูกชายออกมาต้อนรับเราด้วยใบหน้าที่สดใส แต่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอนั้นมีเรื่องราวมากมายที่เต็มไปความอดทนและการต่อสู้
เทร ซา โม ลี้ภัยความรุนแรงมาจากประเทศพม่า และอาศัยที่ค่ายผู้ลี้ภัยถ้ำหินเกือบ 10 ปีแล้ว “ตอนนั้นผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านถูกจับไปใช้แรงงานอย่างทารุณ ส่วนคนแก่ก็ไม่สามารถที่จะหนีไปอยู่ที่อื่นได้ เพราะร่างกายไม่แข็งแรง ฉันเลยจำเป็นที่จะต้องลี้ภัยมากับลุง 2 คน พอเรามาถึงที่ค่ายผู้ลี้ภัยถ้ำหิน เราก็รู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป” เทร ซา โม เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เธอลี้ภัยมาที่ค่ายผู้ลี้ภัยถ้ำหินด้วยสายตาที่หวาดกลัว
ในความโหดร้าย ยังมีแสงสว่างในชีวิตเธอบ้าง เธอได้พบแคน โน สามีของเธอในเวลาต่อมา “ครั้งแรกที่เราเจอกัน ฉันรู้ทันทีว่าเขาคือคนที่ใช่ แม้จะไม่เคยได้พบกันมาก่อน... เราได้ให้สัญญาต่อกันว่าเราจะรักกันตลอดไป” เธอเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มที่เขินอาย ทั้งคู่แต่งงาน และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนคือ แอ โซ โซ โด ชีวิตของเธอดูเหมือนจะสวยงาม และเต็มไปด้วยสีชมพู จนวันหนึ่งที่เธอและสามีต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่ได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อแคน โน ผู้เป็นสามีได้รับการตอบรับให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่สหรัฐอเมริกา แต่เทร ซา โม และลูกไม่สามารถไปด้วยได้เนื่องจากไม่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยเพราะเธอลี้ภัยเข้ามาต่างเวลากัน “ตอนนั้นลูกของเราเพิ่งเกิดได้เพียง 1 สัปดาห์ แต่เขากำลังจะต้องเดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่ มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมากๆ เพราะฉันไม่รู้เลยว่าเราจะได้มีโอกาสพบกันอีกหรือไม่และเมื่อใด สุดท้ายเราก็ตัดสินใจให้แคน โน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่ออนาคตของเราทั้งครอบครัว ส่วนฉันและลูกก็จะรอจนกว่าเราจะได้รับสถานะผู้ลี้ภัย เพื่อมีสิทธ์ขอไปตั้งถิ่นฐานใหม่กับสามีสักวันหนึ่ง”
เมื่อเทร ซา โม นึกถึงช่วงเวลา 8 ปีที่เธอและลูกต้องอยู่ห่างจากสามี ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เนื่องจากไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของเธอออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งเดียวที่ยึดเหนื่ยวเธอและครอบครัวไว้ในช่วงเวลาที่ท้อแท้มีเพียงความหวัง และคำสัญญาที่เธอและสามีให้กันไว้เพียงว่า “เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
ชีวิตของการเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกเพียงลำพังผ่านไปอย่างช้าๆ ในขณะที่ แคน โน ผู้เป็นสามีหลังจากได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่แล้ว ก็ตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อเลี้ยงดูภรรยาและลูก และหวังว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสอยุ่พร้อมหน้าอีกครั้ง
ในที่สุดฝันก็ใกล้เป็นจริง เมื่อปีพ.ศ 2555 รัฐบาลไทย และ UNHCRทำงานร่วมกันในการจดทะเบียนผู้ลี้ภัยเพื่อการรวมและคืนครอบครัว UNHCRได้เร่งตรวจสอบรายชื่อผู้ลี้ภัยที่พลัดพรากจากครอบครัวในค่าย และยื่นคำขอสถานะผู้ลี้ภัยให้แก่กระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือครอบครัวเทร ซา โม ต่อมาพวกเขาได้รับการจดทะเบียนรับรองการเป็นผู้ลี้ภัยอย่างถูกต้องและได้รับการพิจารณาเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งถิ่นฐานใหม่ในที่สุด
“ตอนที่ฉันรู้ว่าได้รับการตอบรับให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่แล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ฉันดีใจจนพูดไม่ออก สามีของฉันตอนที่เขารู้ข่าวเขาดีใจมาก และบอกกับฉันว่า รู้อยู่แล้วว่าเธอและลูกจะต้องได้มา เพราะเชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอด” เทร ซา โม เล่าถึงความรู้สึกของเธอเมื่อทราบข่าวดีที่สุดในชีวิต
“ตอนนี้ฉันตื่นเต้นมาก ฉันไปอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ห้องสมุดเพื่อเตรียมตัวสำหรับชีวิตที่สหรัฐอเมริกา ถ้าฉันไปถึงฉันจะตั้งใจทำงานเก็บเงินช่วยสามีอีกแรง งานอะไรก็ได้ฉันทำได้หมด เพื่อการศึกษาและอนาคตที่ดีของลูกเรา” เทร ซา โม พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
8 ปีที่ผ่านมาของการรอคอยของเทร ซา โม และสามีที่มีเพียงความหวังอันเลือนลาง แต่ก็กลายเป็นความจริงได้ด้วยการบริจาคอย่างต่อเนื่องของผู้บริจาคที่ช่วยให้โครงการคืนครอบครัวและตั้งถิ่นฐานใหม่นั้นสำเร็จได้ ชีวิตของ เทร ซา จากนี้อาจไม่ง่ายนักแต่ความรักและความอบอุ่นของครอบครัวจะเป็นกำลังใจที่สำคัญที่จะทำให้พวกเขาผ่านไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้มีผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยจำนวน 105,935 คน UNHCRได้ทำงานเพื่อให้ความคุ้มครองและมอบทางออกที่ยั่งยืนแก่ผู้ลี้ภัยด้วยโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่ รวมถึงโครงการคืนครอบครัวที่พรากจากกัน โดยนับตั้งแต่ปีพ.ศ 2548 UNHCR ได้ดำเนินการช่วยผู้ลี้ภัยเช่น เทร ซา โมจำนวน 101,160 คนให้ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่
*ชื่อถูกเปลี่ยนเพื่อเหตุผลทางการคุ้มครอง
เขียนโดย ปฐมาวรรณ ตันจันทร์พงศ์