Skip to main content

ภาษา

Mohammad

เรื่องจริงที่ยิ่งกว่าฝันร้ายของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

ผมอยากจะเริ่มเล่าเรื่องราวของผู้ลี้ภัยด้วยเรื่องของมูฮัมมัดจากโพสต์ในปีพ.ศ 2557 ตอนแรกที่พบกันเมื่อปีที่แล้วมูฮัมมัดเพิ่งลี้ภัยมาจากซีเรีย และมาทำงานเป็นเสมียนอยู่ที่โรงแรมของผมที่ประเทศอิรัก ช่วงที่สงครามกำลังเริ่มนั้น มูฮัมมัดกำลังเป็นนักศึกษาด้านวรรณคดีภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยดามัสกัส ภาษาอังกฤษของเขาดีมาก และตอนนี้เขาทำงานช่วยผมในเรื่องการแปล เราสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยที่ลี้ภัยมาเพราะกลุ่มไอซิส ประมาณ 2-3 วันแล้ว ผมอยากจะเล่าเรื่องของเขาเพราะผมเพิ่งจะได้มีโอกาสติดต่อกับเขาอีกครั้งเร็วๆนี้ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาหลังจากครั้งล่าสุดที่เราพบกันเมื่อปีก่อนที่อิรักนั้นมันช่างโหดร้าย

สิงหาคม พ.ศ 2557 เมืองเออร์บิล อิรัก “การต่อสู้รุนแรงมากตอนที่ผมหนีจากซีเรียมาที่เขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานแห่งอิรัก (ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอิรัก) ตอนนั้นผมมีเงินติดตัวเพียง 1,750 บาท และตอนมาถึงที่นี่ก็แทบไม่เหลือเงินแม้แต่บาทเดียวผมเจอกับผู้ชายคนหนึ่งบนถนน เขาพาผมมาที่บ้าน นำอาหารมาให้ผม และให้ผมนอนพักที่บ้านเขา ผมรู้สึกเกรงใจมาก ตอนนั้นผมจึงใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงต่อวันเพื่อออกไปหางานทำ และกลับมาเพื่อนอนพักเท่านั้น และในที่สุดผมก็ได้งานทำที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ผมทำงานวันละ 12 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์และมีรายได้เดือนละ 14,000 บาท ตอนนี้ผมได้งานใหม่ที่ดีกว่าเดิมมากที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่ง ทำงานวันละ 12 ชั่วโมงเหมือนเดิมแต่มีวันหยุดสัปดาห์ละ 1 วันและมีรายได้เดือนละ  21,000 บาท ส่วนวันที่ผมว่างผมก็หารายได้พิเศษเป็นครูสอนภาษาอังกฤษวันละ 18 ชั่วโมง และไม่ใช้เงินที่ได้มากจากการสอนเลยแม้แต่บาทเดียว ผมไม่ซื้อแม้แต่เสื้อซักตัว และในที่สุดก็สามารถเก็บเงินได้จำนวน 13,000 ยูโร (ประมาณ 530,000 บาท) ซึ่งเป็นเงินที่ผมต้องการสำหรับการทำเอกสารปลอม มีผู้ชายคนหนึ่งบอกกับผมว่าเขาสามารถพาผมไปที่ยุโรปได้ด้วยเงินจำนวนนี้ และผมกำลังจะออกเดินทางสัปดาห์หน้า แต่ก่อนหน้านั้นผมจะกลับไปที่ซีเรียอีกครั้งเพื่อบอกลาครอบครัวของผม และผมจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง จะพยายามลืมเรื่องทั้งหมดให้ได้ และจะเรียนหนังสือให้จบ

เกาะคอส ประเทศกรีซ “ก่อนที่จะมาที่ยุโรป ผมกลับไปที่ซีเรียเพื่อที่จะเจอกับครอบครัวอีกครั้ง ผมนอนในโรงนาของลุงตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่นเพราะที่บ้านของพ่อจะมีตำรวจมาเคาะประตูทุกวัน และในที่สุดพ่อก็บอกผมว่า “พวกตำรวจจะเจอลูกและฆ่าลูกถ้าลูกอยู่นานกว่านี้” ผมจึงติดต่อกับผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองและเดินทางไปอิสตันบูล และก่อนที่ผมจะเดินทางไปยุโรป ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องสาว เธอบอกผมว่าพ่อผมโดนตำรวจทำร้ายร่างกายอย่างหนัก และทางเดียวที่จะทำให้พ่อรอดชีวิตได้คือต้องได้รับการผ่าตัดซึ่งจะใช้เงินประมาณ 5,000 ยูโร (205,000 บาท) และนี่คือเงินที่ผมต้องใช้เพื่อไปยุโรป จะให้ผมทำอย่างไรผมไม่เหลือทางเลือกอื่น และจากนั้นอีกสองสัปดาห์ถัดมาน้องสาวผมก็โทรมาบอกข่าวร้ายกว่านั้น เธอบอกว่าน้องชายของผมถูกกลุ่มไอซิสฆ่าเสียชีวิตขณะที่เขากำลังทำงานที่บ่อน้ำมัน พวกนั้นค้นเจอที่อยู่ของน้องชายผมจากบัตรประชาชนและส่งหัวของน้องผมมาที่บ้านพร้อมข้อความที่เขียนว่า “ชาวเคิร์ดไม่ใช่ชาวมุสลิม” น้องสาวผมเป็นคนพบหัวของน้องชายผม และตั้งแต่วันนั้น น้องสาวของผมก็ไม่พูดอีกเลยซึ่งเป็นเวลา 1 ปีมาแล้ว” 

“น้ำตาผมไหลไม่หยุดตลอดสองสัปดาห์หลังจากทราบข่าว ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราได้อย่างไร พวกเราทำทุกอย่างถูกต้อง ซื่อสัตย์กับทุกคน ปฎิบัติตัวดีกับเพื่อนบ้านมาตลอด เราไม่เคยทำอะไรผิดพลาดใหญ่โต ผมเครียดจนถึงขีดสุด ตอนนั้นพ่อของผมยังรับการรักษาอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาล และทุกๆวันน้องสาวอีกคนของผมก็จะโทรมารายงานว่ากลุ่มไอซิสกำลังใกล้เข้ามาที่หมู่บ้านเราทุกวันๆ ผมแทบคลั่ง ผมเครียดจนเป็นลมกลางถนนและตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ผมตัดสินใจเอาเงินที่เหลือทั้งหมดให้กับผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองเพื่อให้เขาช่วยพาน้องสาวของผมหนีมาที่อิรัก ตอนนี้ผมเหลือเงินเพียง 1,000 ยูโร (41,000 บาท) และอยู่ที่ตุรกีเพียงลำพัง หลังจากพ่อผมฟื้นจากการผ่าตัด พ่อผมก็โทรมาหาผมและถามว่าผมเอาเงินจากที่ไหนมาจ่ายค่าผ่าตัด ผมเลยบอกพ่อว่าผมยืมเพื่อนมา พ่อถามว่าผมถึงยุโรปรึยัง และนี่คือครั้งแรกที่ผมโกหกพ่อ ผมบอกพ่อว่าผมอยู่ที่ยุโรปแล้ว ปลอดภัยดี พ่อไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมไม่อยากให้พ่อต้องรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องผ่าตัด”

“หลังจากผมบอกพ่อว่าผมถึงยุโรปแล้ว ตอนนี้ผมก็ไม่ขออะไรมากไปกว่าการทำให้เรื่องโกหกนั้นเป็นความจริงให้ได้ ผมเจอกับผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองและเล่าเรื่องราวของผมให้เขาฟัง เขามีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยผมมากและอยากที่จะช่วย และบอกว่าสามารถพาผมไปส่งที่กรีซด้วยเงินจำนวน 1,000 ยูโร เขาบอกกับผมว่า “ผมไม่เหมือนผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองคนอื่นๆนะ ผมเกรงกลัวต่อพระเจ้า และผมเองก็มีลูกเหมือนกัน และจะไม่มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้นกับคุณแน่นอน” ผมเชื่อผู้ชายคนนี้ และในคืนหนึ่งเขาก็โทรหาผมและบอกให้ผมมาเจอที่โรงรถ เขาจับผมขึ้นรถตู้พร้อมกับคนอื่นๆอีก 20 คน ที่หลังรถมีถังแก๊สหลายอัน แต่ละคนเริ่มหายใจไม่ออก และเริ่มตะโกนและอาเจียน และผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองคนนี้ก็หยิบปืนออกมาและชี้มาที่พวกเราพร้อมตะโกนว่า “ถ้ายังไม่เงียบ ฉันยิงแน่” เขาพาพวกเรามาที่ชายหาด และเตรียมเรือให้พร้อม ในขณะที่ผู้ช่วยอีกคนก็คอยเอาปืนจ่อมายังพวกเราตลอดเวลา เรือที่ใช้เป็นเรือพลาสติกยาวประมาณแค่ 3 เมตรเท่านั้น และตอนที่พวกเรานั่งลงบนเรือท่ามกลางความตื่นตระหนก เรือก็เริ่มจมลง

มี 13 คนบอกว่าพวกเขากลัวเกินกว่าจะไปต่อ แต่ผู้ลักลอบขนคนเข้าเมืองบอกว่าถ้าพวกเราเปลี่ยนใจตอนนี้ จะไม่คืนเงินให้ สุดท้ายแล้วก็เหลือพวกเราเพียง 7 คนเท่านั้นที่ตัดสินใจเดินทางต่อ ชายคนนั้นบอกเราว่าเขาจะช่วยนำทางพวกเราไปจนถึงเกาะ แต่เมื่อออกจากชายฝั่งได้เพียงไม่กี่ร้อยเมตร เขาก็กระโดดออกจากเรือและว่ายน้ำขึ้นฝั่ง ตอนนั้นมันมืดไปหมด มืดจนไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง ไม่มีไฟใดๆทั้งสิ้น มีแต่ทะเลเท่านั้น  และหลังจากนั้นเพียง 30 นาทีเครื่องยนต์ก็ดับลง ผมรู้ทันทีว่าพวกเรากำลังจะตาย ผมกลัวมากจนความคิดทั้งหมดหยุดลงอย่างสิ้นเชิง พวกผู้หญิงเริ่มร้องไห้เพราะว่าพวกเขาว่ายน้ำไม่เป็น ผมโกหกและบอกว่าผมว่ายน้ำได้ และจะแบกพวกเขา 3 คนไว้บนหลัง จากนั้นฝนก็เริ่มตก และเรือก็เริ่มวนเป็นวงกลม มีผู้ชายคนนึงพยายามจะซ่อมเครื่องยนต์ และอีกไม่กี่นาทีถัดมาเครื่องยนต์ก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ผมจำไม่ได้ว่าพวกเราถึงที่ชายฝั่งได้อย่างไร และเมื่อผมถึงที่ชายฝั่ง ผมลงไปจูบพื้นดินทันทีที่เท้าผมแตะพื้น ตอนนี้ผมเกลียดทะเลจับใจ ผมเกลียดและไม่อยากจะว่ายน้ำในทะเลอีก แม้แต่จะมองไปที่ทะเลผมก็ยังไม่ชอบ ผมเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับทะเลจริงๆ” 

เกาะที่พวกเรามาถึงชื่อเกาะซาโมเทรซ พวกเรารู้สึกขอบคุณอย่างมากที่มาถึงที่นี่ได้ และคิดว่าปลอดภัยแล้ว จากนั้นก็เริ่มเดินเพื่อมุ่งหน้าไปที่สถานีตำรวจเพื่อลงทะเบียนผู้ลี้ภัย เราขอให้ชายที่อยู่ข้างถนนโทรเรียกตำรวจให้พวกเราด้วยซ้ำ ผมบอกผู้ลี้ภัยคนอื่นๆว่าให้ผมพูดกับเขาเพราะผมพูดภาษาอังกฤษได้ และทันใดนั้นรถตำรวจสองคันที่ขับมาด้วยความเร็วสูงก็พุ่งมาที่พวกเราและเบรกเอี๊ยดตรงหน้า พวกตำรวจชี้ปืนมาที่พวกเราและตะโกนว่า “ยกมือขึ้น” ผมบอกว่า “ขอร้องเถอะครับ พวกเราพึ่งหนีมาจากสงคราม พวกเราไม่ใช่อาชญากร” พวกตำรวจบอกว่า “หุบปาก มะละกา!” ผมจะไม่มีวันลืมคำนี้เลยที่พวกเขาใช้เรียกพวกเรา “มะละกา มะละกา มะละกา” พวกตำรวจจับพวกเราไปขังคุก เสื้อผ้าพวกเราเปียกไปหมด และทุกคนก็หนาวสั่นจนไม่สามารถหลับได้ ผมยังจำความหนาวเข้ากระดูกนั้นได้ดี เราไม่ได้ทานอาหารและน้ำเลย 3 วันติดต่อกัน ผมบอกกับตำรวจว่า “เราไม่ได้ต้องการอาหาร แต่ขอแค่น้ำดื่มเท่านั้น ได้โปรดเถอะขอน้ำดื่มให้พวกเราด้วย” และอีกครั้งที่พวกเขาพูดว่า “หุบปาก มะละกา!” ผมยังจำหน้าของตำรวจคนนี้ได้ดี ฟันห่างๆของเขาที่ทำให้น้ำลายกระเด็นใส่หน้าพวกเราทุกครั้งที่เขาพูด

เขาเลือกที่จะนั่งมองพวกเราทั้ง 7 คนอ้อนวอนร้องขอน้ำดื่มตลอด 3 วันติดต่อกัน และสุดท้ายพวกเราก็ออกมาจากที่นั่นได้พวกเขาพาเรานั่งเรือและส่งพวกเราไปที่ค่ายในเมือง พวกเราอยู่ที่นั่น 12 วันและเริ่มเดินทางต่อไปทางเหนือ เราเดินเท้าประมาณ 3 สัปดาห์ ผมกินใบไม้เป็นอาหารเหมือนพวกสัตว์ และดื่มน้ำสกปรกๆจากแม่น้ำ ขาผมปวดไปหมดและบวมจนผมต้องถอดรองเท้าเดิน พอเราเดินมาถึงที่ชายแดนก็พบกับตำรวจอัลแบเนียคนหนึ่ง เขาถามว่าพวกเราเป็นผู้ลี้ภัยรึเปล่า และเมื่อพวกเราบอกว่า “ใช่” เขาก็บอกว่าจะช่วยพวกเราและให้ไปหลบในป่าจนกว่าจะถึงตอนกลางคืน ตอนนั้นผมไม่ได้ไว้ใจเขาหรอก แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะวิ่งหนีแล้ว พอถึงตอนกลางคืนตำรวจคนนี้ก็กลับมาและพาพวกเราทุกคนขึ้นรถของเขา และขับพาพวกเราไปที่บ้านของเขา ให้พวกเราอยู่ที่นั่น 1 สัปดาห์ เขาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเรา เอาอาหารมาให้เราทุกคืน และบอกผมว่า “ไม่ต้องเกรงใจนะ ผมก็เคยผ่านสงครามมาก่อน ตอนนี้คุณก็เหมือนครอบครัวของผม ขอให้คิดว่าที่นี่ก็คือบ้านของคุณนะ”

“หลังจากนั้น 1 เดือนผมก็มาถึงออสเตรีย วันแรกที่ผมมาถึงที่นี่ผมเดินไปที่ร้านเบเกอรี่และเจอกับชายคนหนึ่งชื่อฟริตซ์ ฮัมเมล เขาบอกผมว่าเมื่อ 40 กว่าปีก่อนเขาเคยไปซีเรียและผู้คนที่นั่นก็ดีกับเขามาก เขาเลยให้เสื้อผ้า อาหาร และทุกอย่างกับผม สำหรับผมแล้วเขาเหมือนพ่อผมเลย เขาพาผมไปรู้จักกับคนอื่นๆที่สโมสรโรตารี เขาเล่าเรื่องของผมให้คนที่สโมสรฟังและถามคนที่สโมสรว่า “เราจะช่วยเขาได้อย่างไร” ผมเจอโบสถ์แห่งหนึ่งและอาศัยอยู่ที่นั่น และตอนนั้นเองผมก็บอกกับตัวเองว่าผมจะต้องเรียนภาษาเยอรมัน ผมฝึกและเรียนภาษาเยอรมัน 17 ชั่วโมงต่อวัน จากการอ่านหนังสือนิทานเด็กตลอดทั้งวัน ดูทีวี และพยายามที่จะพูดคุยกับคนออสเตรียมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และหลังจากนั้น 7 เดือนก็ถึงเวลาที่ผมจะพบกับกรรมการที่จะตัดสินสถานะทางพลเมืองของผม ตอนนี้ผมพูดภาษาเยอรมันได้คล่องแล้ว ผมเลยถามกรรมการไปว่าผมขอสัมภาษณ์เป็นภาษาเยอรมันได้หรือไม่ เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาประทับใจมากที่ผมเรียนภาษาเยอรมันมาแล้ว และสัมภาษณ์ผมเพียงแค่ 10 นาที และชี้มาที่บัตรประชาชนซีเรียของผมและบอกว่า “มูฮัมมัด คุณไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว เพราะตอนนี้คุณคือชาวออสเตรียแล้ว”

ที่มา: Humans of New York